Monday, June 27, 2016

บทบาท อาจารย์ นักศึกษา กับประชาธิปไตยในชั้นเรียน

บทบาท อาจารย์ นักศึกษา กับประชาธิปไตยในชั้นเรียน
ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้มนุษย์ยุค 2016 มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่สังคมไทยให้ความสำคัญกับประชาธิปไตย มากขึ้น เรียกร้องกันมากขึ้น ทั้งในครอบครัว ระหว่างพ่อแม่ ลูก และญาติพี่น้อง ในชั้นเรียน ระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ครูอาจารย์กับลูกศิษย์ ในที่ทำงานระหว่างหัวหน้างาน กับลูกน้อง ไปจนถึงระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศ
ด้วยพื้นฐานของสังคม เริ่มต้น จากครอบครัว ความรัก ความใกล้ชิด ของคนในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ประชาธิปไตยในครอบครัว ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข มีความรัก ความเข้าใจกัน ทั้งนี้ในเชิงลึก ก็ยังคงต้องมีเผด็จการอยู่บ้าง ผู้ปกครองมีหน้าที่สั่งสอนกุลบุตร กุลธิดา ให้สามารถไปอยู่ร่วมกับสังคมได้ในอนาคต จึงคงให้ประชาธิปไตยทุกเรื่องไม่ได้ เนื่องจากผู้เยาว์ ยังมีประสบการณ์น้อย การดำเนินชีวิตในหลายเรื่องหากปล่อยให้ดำเนินการไปโดยไม่มีการทักท้วง ให้คำแนะนำ จนถึงปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของผู้เยาว์แล้ว ก็อาจเกิดผลเสียหาย ทั้งต่อตัวผู้เยาว์เอง ผู้ปกครอง รวมทั้งสังคม ประเทศชาติได้ กฎหมายจึงกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ผู้ให้การอบรมสั่งสอน ทั้งหลาย มีหน้าที่ กำกับดูแล ให้คำปรึกษา เพื่อไม่ให้ผู้เยาว์ พลาดพลั้ง จนนำไปสู่ความเสียหายทั้งต่อผู้อื่น และตัวผู้เยาว์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น อันเป็นการละเมิด ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักประชาธิปไตย
ด้วยเหตุนี้ การที่บิดา มารดา ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ต้องคอยสั่งสอน ตักเตือน ผู้เยาว์ จึงถือเป็นหน้าที่พึงกระทำ ตามหลักประชาธิปไตย เพื่อให้ผู้เยาว์เข้าใจหลักประชาธิปไตย ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น และสังคมโดยรวม
การเรียนในชั้นเรียน เป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่ ผู้เรียนในชั้นเรียน นอกจากจะต้องให้เกียรติผู้อื่น ให้เกียรติผู้บรรยาย อันเป็นมารยาทของอารยชน แสดงถึงความเป็นผู้มีอารยธรรมแล้ว ยังต้องระมัดระวังในการละเมิดสิทธิของผู้อื่นตามหลักประชาธิปไตย
อาทิ การคุยกันเสียงดัง โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนร่วมชั้นเรียน โดยอ้างสิทธิว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะพูดคุยได้ตามหลักประชาธิปไตย แต่เรามักจะลืมไปว่า พฤติกรรมเช่นนั้นเป็นการละเมิดสิทธิผู้อื่น หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน ในขณะที่ผู้อื่นให้เกียรติเราไม่เอะอะโวยวายว่าเรากำลังละเมิดสิทธิ ทำให้เรายิ่งเข้าใจผิดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเรากำลังละเมิดสิทธิผู้อื่น ผิดหลักการประชาธิปไตยโดยชัดเจน ที่ไม่ให้บุคคลละเมิดสิทธิบุคคลอื่นและสังคม ดังนั้น บิดา มารดา ญาติ พี่ น้อง ครู อาจารย์ เพื่อน จึงมีบทบาท หน้าที่ อันปฎิเสธไม่ได้ที่จะต้องคอยว่ากล่าว ตักเตือน บุคคล รวมทั้งเด็ก และเยาวชน ในการดูแล ให้ประพฤติ ปฎิบัติ ตามหลักการประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม และประเทศชาติ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

Friday, June 24, 2016

การจัดการผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio Management: PPM)

การจัดการผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio Management: PPM) เป็นเทคนิคสำหรับการวิเคราะห์ทางธุรกิจที่แบ่งธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของบริษัทออกเป็นสี่ประเภท "ดาว” "วัวเงินสด" "เครื่องหมายคำถาม" และ "สุนัข"
โดยการกำหนดจุดลงบนกราฟที่ประกอบด้วย ส่วนแบ่งการตลาด (Market share) และการเจริญเติบโตของตลาด (Market growth) โดยการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมให้แก่แต่ละสี่ประเภทอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและเพื่อสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพสูงสุดของธุรกิจและผลิตภัณฑ์
วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Product life cycle)
"วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์" หมายถึงขั้นตอนสี่ขั้นที่ผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้นับตั้งแต่ผลิตภัณฑ์นั้นออกสู่ท้องตลาดจนกว่าจะสิ้นสุดการขายและหมดไปจากตลาด

ขั้นตอนสี่ขั้นมีรายละเอียดดังนี้

ระยะเริ่มต้น (Introduction stage):
ระยะเวลาที่จะไปลงทุนมากในการขายกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มยอดขาย

ระยะการเจริญเติบโต (Growth stage):
ระยะที่ผลิตภัณฑ์มียอดขายสูงสุดและมีผลิตภัณฑ์คู่แข่งเพิ่มขึ้น
เป็นระยะเวลาที่จะต้องวางแผนเพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้โดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง

ระยะครบกําหนด (Maturity stage):
เป็นช่วงเวลาที่ยอดขายสูงสุดได้ผ่านไปและอัตราการเติบโตของอุปทานลดลง
เป็นช่วงระยะเวลาของการลงทุนเพื่อรักษาสถานะทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ในตลาด

ระยะถดถอย (Decline stage):
เป็นช่วงเวลาที่ยอดขาบซบเซา
เป็นช่วงเวลาที่สินค้าจะต้องถูกถอนออกจากตลาด หรือต้องลงทุนเพิ่ม เพื่อรักษาตามความต้องการผลิตภัณฑ์นั้นของตลาด

ประเภท (Category)
ดาว (Star)
ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ยังสามารถสร้างผลกำไร แต่ต้องการเงินลงทุน
ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงและยังสามารถรับประกันรายได้ แต่ต้องการเงินทุนเพื่อรักษาสถานะทางการแข่งขันในตลาด

วัวนม (Cash cow) ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างกำไรด้วยการลงทุนจำนวนน้อย เป็นธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงด้วยการลงทุนน้อยที่สุด (เงินทุน) เนื่องจากมีส่วนแบ่งทางการตลาดขนาดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนขนาดใหญ่

เครื่องหมายคำถาม (Question mark) ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถทำกำไร แต่คาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตได้ในอนาคตด้วยการลงทุนเพิ่มเติม อัตราการเจริญเติบโตสูง แต่ต้องการการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ(เงินทุน) เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดขนาดน้อย สำหรับองค์กรธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่สามารถคาดว่าจะเติบโตในอนาคต จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่จะทำให้ธุรกิจและผลิตภัณฑ์นั้นเปลี่ยนสู่สถานะ "ดาว"

สุนัข (Dog) ธุรกิจและสินค้าที่มีศักยภาพต่ำที่โดยทั่วไปควรจะถอนตัวออกจากตลาด เป็นธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราลดลง อีกทั้งมีการรั่วไหลของเงินทุน และการไหลเข้าของเงินทุนที่ต่ำ เพื่อสร้างรายได้ที่สูงกว่าการลงทุนที่คาดหวังก็อาจจำเป็นที่จะถอนหรือลดขนาดธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในสถานะนี้ลง

การจัดการผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio Management: PPM)

การจัดการผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio Management: PPM) เป็นเทคนิคสำหรับการวิเคราะห์ทางธุรกิจที่แบ่งธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของบริษัทออกเป็นสี่ประเภท "ดาว” "วัวเงินสด" "เครื่องหมายคำถาม" และ "สุนัข"
โดยการกำหนดจุดลงบนกราฟที่ประกอบด้วย ส่วนแบ่งการตลาด (Market share) และการเจริญเติบโตของตลาด (Market growth) โดยการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมให้แก่แต่ละสี่ประเภทอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและเพื่อสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพสูงสุดของธุรกิจและผลิตภัณฑ์
วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Product life cycle)
"วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์" หมายถึงขั้นตอนสี่ขั้นที่ผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านขั้นตอนเหล่านี้นับตั้งแต่ผลิตภัณฑ์นั้นออกสู่ท้องตลาดจนกว่าจะสิ้นสุดการขายและหมดไปจากตลาด

ขั้นตอนสี่ขั้นมีรายละเอียดดังนี้

ระยะเริ่มต้น (Introduction stage):
ระยะเวลาที่จะไปลงทุนมากในการขายกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มยอดขาย

ระยะการเจริญเติบโต (Growth stage):
ระยะที่ผลิตภัณฑ์มียอดขายสูงสุดและมีผลิตภัณฑ์คู่แข่งเพิ่มขึ้น
เป็นระยะเวลาที่จะต้องวางแผนเพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้โดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง

ระยะครบกําหนด (Maturity stage):
เป็นช่วงเวลาที่ยอดขายสูงสุดได้ผ่านไปและอัตราการเติบโตของอุปทานลดลง
เป็นช่วงระยะเวลาของการลงทุนเพื่อรักษาสถานะทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ในตลาด

ระยะถดถอย (Decline stage):
เป็นช่วงเวลาที่ยอดขาบซบเซา
เป็นช่วงเวลาที่สินค้าจะต้องถูกถอนออกจากตลาด หรือต้องลงทุนเพิ่ม เพื่อรักษาตามความต้องการผลิตภัณฑ์นั้นของตลาด

ประเภท (Category)
ดาว (Star)
ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ยังสามารถสร้างผลกำไร แต่ต้องการเงินลงทุน
ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงและยังสามารถรับประกันรายได้ แต่ต้องการเงินทุนเพื่อรักษาสถานะทางการแข่งขันในตลาด

วัวนม (Cash cow) ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างกำไรด้วยการลงทุนจำนวนน้อย เป็นธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงด้วยการลงทุนน้อยที่สุด (เงินทุน) เนื่องจากมีส่วนแบ่งทางการตลาดขนาดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนขนาดใหญ่

เครื่องหมายคำถาม (Question mark) ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถทำกำไร แต่คาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตได้ในอนาคตด้วยการลงทุนเพิ่มเติม อัตราการเจริญเติบโตสูง แต่ต้องการการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ(เงินทุน) เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดขนาดน้อย สำหรับองค์กรธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่สามารถคาดว่าจะเติบโตในอนาคต จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่จะทำให้ธุรกิจและผลิตภัณฑ์นั้นเปลี่ยนสู่สถานะ "ดาว"

สุนัข (Dog) ธุรกิจและสินค้าที่มีศักยภาพต่ำที่โดยทั่วไปควรจะถอนตัวออกจากตลาด เป็นธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราลดลง อีกทั้งมีการรั่วไหลของเงินทุน และการไหลเข้าของเงินทุนที่ต่ำ เพื่อสร้างรายได้ที่สูงกว่าการลงทุนที่คาดหวังก็อาจจำเป็นที่จะถอนหรือลดขนาดธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในสถานะนี้ลง

การใช้เครื่องมือสำนักงาน (Use of office tools)

การใช้เครื่องมือสำนักงาน (Use of office tools)
แทนที่จะใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการดำเนินการทางธุรกิจเต็มรูปแบบ องค์กรสามารถใช้เครื่องมือสำนักงานอัตโนมัติ (ซอฟต์แวร์แพคเกจ) มาประยุกต์ใช้เชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือสำนักงานอัตโนมัติ อาทิเช่น ซอฟต์แวร์สเปรดชีตหรือกระดานคำนวณ เช่น เอ็กซ์เซล และซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล
องค์กรสามารถประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ ไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการสร้างตารางกราฟ การสุ่มตัวอย่างและการเรียงลำดับข้อมูล
ในขณะนี้ซอฟต์แวร์ระบบสำนักงานอัตโนมัติ อาทิคลังข้อมูลและ ดาต้ามาร์ทยังถูกใช้เพื่อการจัดเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเพื่อกลยุทธ์ทางธุรกิจอีกด้วย
●ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word processing software)
"ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ" มีฟังก์ชั่นหรือความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย เช่นการสร้างเอกสาร การแก้ไข และการพิมพ์ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับแต่งและพิมพ์ เอกสารที่ง่ายต่อการอ่าน
●ซอฟแวร์กระดาษคำนวณ (Spreadsheet software)
"ซอฟแวร์กระดาษคำนวณ" มีฟังก์ชั่น หรือความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย เช่นการสร้างตาราง การสร้างกราฟ และการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งความสามารถอื่นๆ
●ซอฟต์แวร์เพื่อการนำเสนอ (Presentation software)
"ซอฟแวร์เพื่อการนำเสนอ" มีความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย สามาถสร้างและทำหน้าที่เป็นสื่อในการนำเสนอ และยังสามารถแทรกภาพประกอบ กราฟ ตาราง ภาพ และสื่ออื่นๆ ลงในสื่อนำเสนอ
●ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database software)
"ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล" ทำหน้าที่จัดการข้อมูลต่างๆ (สารสนเทศ) ให้เป็นหน่วยหรือหมวดหมู่เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยเก็บรวบรวมไว้ด้วยกันในที่เดียว ทำให้สามารถดำเนินการและบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถานะที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Terms related to business strategy)

สถานะที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Terms related to business strategy)
เงื่อนไขทั่วไปที่ใช้ในกลยุทธ์ทางธุรกิจมีรายละเอียดดังนี้
(1) ความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง (Competitive superiority)
"ความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง" เป็นสถานะทางด้านความสามารถในการแข่งขันที่เหนือกว่าของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
ในโลกแห่งธุรกิจยุคใหม่ความสามารถในการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง มากกว่าการมีกลยุทธ์ที่มากมายและแตกต่าง เพราะสามารถถูกลอกเลียนแบบโดยบริษัท อื่นได้โดยง่าย
เพื่อที่จะสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ดีกว่าคู่แข่งให้แก่ลูกค้า จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรต้องพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อการแข่งขันที่เหนือกว่า ด้วยการรวมปัจจัยหลายอย่างเข้าด้วยกัน นอกจากปัจจัยด้านราคาที่ต่ำกว่าแล้ว การออกแบบที่มีคุณภาพ ระบบการผลิตและแบรนด์หรือยี่ห้อ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ความสามารถในการแข่งขัน (Core competence)
"ความสามารถในการแข่งขัน" ในทางธุรกิจหมายถึง "ความสามารถในขอบเขตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางเทคโนโลยี เงินทุนที่เป็นปัจจัยหลักของบริษัท ซึ่งบริษัทคู่แข่งอื่นๆ ยังไม่สามารถเลียนแบบ" ทำให้บริษัทยังคงความสามารถในการแข่งขัน
เป็นความแข็งแกร่งของ บริษัท และยังรวมถึงการจัดการทรัพยากรที่มีคุณค่าสำหรับองค์กรอย่างมีคุณภาพ ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์จากบริษัทคู่แข่ง ความสามารถในการแข่งขันเป็นกลยุทธ์และกุญแจสำคัญในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัท
เมื่อเกิดการผนวกการทำธุรกิจเข้ากับบริษัทอื่น ก็จะช่วยให้พันธมิตรมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นและสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างมาก
กลยุทธ์เฉพาะกลุ่ม (Niche strategy)
กลยุทธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยและคงไว้ซึ่งผลกำไรจากตลาดที่เฉพาะเจาะจงหรือ "เฉพาะกลุ่ม" มากกว่าในตลาดหลักที่บริษัททำธุรกิจอยู่

 (2) พึงพอใจของลูกค้า (Customer satisfaction: CS)
"พึงพอใจของลูกค้า" หรือ "CS" คือระดับของความพึงพอใจของลูกค้าที่มีประสบการณ์หลังจากใช้สินค้าหรือบริการและได้รับความพึงพอใจที่เป็นไปตามความคาดหวัง
"การจัดการความพึงพอใจของลูกค้า" (CS management) เป็นเทคนิคการจัดการที่มุ่งเน้นความพึงพอใจของลูกค้า
การจัดการความพึงพอใจของลูกค้า ยึดหลักแนวความคิดการสร้างมูลค่าขององค์กรจากมุมมองของลูกค้าและให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพึงพอใจ รวมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการขององค์กร
ในการจัดการความพึงพอใจของลูกค้า การจัดการความต้องการและความคิดเห็นของลูกค้าจะถูกเก็บรวบรวมเพื่อนำมาวิเคราะห์ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อให้ได้ผลลัพท์ของการให้บริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้สูงสุด
ข้อมูลทีได้จากการวิเคราะห์จะถูกนำไปใช้เพื่อขยายการให้บริการเหมาะสมตามที่ลูกค้าต้องการและลดงานบริการที่ไม่เหมาะสมให้มีขนาดลดลง
การจัดการความพึงพอใจของลูกค้ารจะเริ่มต้นเมื่อลูกค้าเลือกผลิตภัณฑ์ ซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าขององค์กร โดยที่ลูกค้าจำนวนมากได้เลือกผลิตภัณฑ์ของบริษัท มากกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่ง และทำให้เกิดการซื้อซ้ำเมื่อจำเป็นต้องทำการเปลี่ยนชิ้นใหม่
การส่งเสริมความตระหนักถึงความพึงพอใจของลูกค้าและการให้บริการสินค้าที่มีคุณภาพ แต่ยังหมายถึงการติดตามการให้บริการหลังการขายด้วย

การจัดการกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business strategy management)

การจัดการกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business strategy management)

เทคนิคกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business strategy techniques)
"กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ" คือแผนการดำเนินธุรกิจที่มีมุมมองระยะยาวเพื่อการพัฒนาธุรกิจของ บริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้มีมากกว่า บริษัทคู่แข่งอื่นๆ และเพื่อทำให้บริษัทสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทสามารถกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้
- การกำหนดปรัชญาขององค์กร
การระบุเหตุผลในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และแนวทางการดำเนินการอื่น ๆ
- การกำหนดเป้าหมายขององค์กร
ระบุเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
- การกำหนดขอบเขตการดำเนินธุรกิจขององค์กร
- กำหนดตำแหน่งของบริษัทในตลาด

การกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ
การกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับอนาคตที่จะช่วยให้ บริษัท สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและอยู่รอดได้

เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ (Business information analysis techniques)
เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความจำเป็นที่จะต้องทราบหรือเข้าใจความสามารถสูงสุดของบริษัท และเพื่อสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และตำแหน่งปัจจุบันในตลาดของบริษัท

เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis techniques) สำหรับการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจมีรายละเอียดดังนี้

(1) การวิเคราะห์สว็อท (SWOT analysis)
"การวิเคราะห์สว็อท (จุดแข็งจุดอ่อนโอกาสและภัยคุกคาม) SWOT (Strengths, Weaknesses, Opportunities, Threats)" เป็นวิธีการประเมินผลที่จะวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนโอกาสและภัยคุกคามของ บริษัท

จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) เพื่อประโยชน์ในการแข่งขันทางธุรกิจโดยการวิเคราะห์จาก "สภาพแวดล้อมภายใน (internal environment)" ของบริษัท ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป

โอกาส (Opportunities) และภัยคุกคาม (threats) ที่ประโยชน์ในการกำหนดทิศทางให้ธุรกิจโดยการวิเคราะห์จาก "สภาพแวดล้อมภายนอกบริษัท” (external environment)

การวิเคราะห์สว็อท (SWOT) ยังใช้เพื่อการกำหนดแผนการตลาด การกำหนดนโยบายการจัดการวิกฤต และถือว่าเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ที่เหมาะสำหรับการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ

สภาพแวดล้อมภายนอก (External environment)
"สภาพแวดล้อมภายนอก" (External environment) หมายถึงปัจจัยที่เกิดจากรัฐบาล เศรษฐกิจ สภาพสังคม กฎหมาย ตลาด การเปลี่ยนแปลงของราคาและแนวโน้มของลูกค้า บริษัท คู่แข่ง ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทหรือองค์กร ไม่สามารถควบคุมได้

สภาพแวดล้อมภายใน (Internal environment)
"สภาพแวดล้อมภายใน" (Internal environment) หมายถึง ปัจจัยภายในของบริษัท ด้านต่างๆ อาทิเช่น ทรัพยากรมนุษย์ ความแข็งแกร่งของธุรกิจ ความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ อำนาจการขาย ความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี ยี่ห้อ การแข่งขัน สถานะทางการเงิน และปัจจัยอื่น ๆ ที่บริษัท หรือองค์กรสามารถควบคุมได้

การจัดการกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business strategy management)

การจัดการกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business strategy management)

เทคนิคกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Business strategy techniques)
"กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ" คือแผนการดำเนินธุรกิจที่มีมุมมองระยะยาวเพื่อการพัฒนาธุรกิจของ บริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันให้มีมากกว่า บริษัทคู่แข่งอื่นๆ และเพื่อทำให้บริษัทสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ

บริษัทสามารถกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้
- การกำหนดปรัชญาขององค์กร
การระบุเหตุผลในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และแนวทางการดำเนินการอื่น ๆ
- การกำหนดเป้าหมายขององค์กร
ระบุเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
- การกำหนดขอบเขตการดำเนินธุรกิจขององค์กร
- กำหนดตำแหน่งของบริษัทในตลาด

การกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ
การกำหนดแนวทางการดำเนินการสำหรับอนาคตที่จะช่วยให้ บริษัท สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงและอยู่รอดได้

เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ (Business information analysis techniques)
เป็นเทคนิคที่ใช้เพื่อกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีความจำเป็นที่จะต้องทราบหรือเข้าใจความสามารถสูงสุดของบริษัท และเพื่อสามารถวิเคราะห์สถานการณ์และตำแหน่งปัจจุบันในตลาดของบริษัท

เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis techniques) สำหรับการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจมีรายละเอียดดังนี้

(1) การวิเคราะห์สว็อท (SWOT analysis)
"การวิเคราะห์สว็อท (จุดแข็งจุดอ่อนโอกาสและภัยคุกคาม) SWOT (Strengths, Weaknesses, Opportunities, Threats)" เป็นวิธีการประเมินผลที่จะวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนโอกาสและภัยคุกคามของ บริษัท

จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) เพื่อประโยชน์ในการแข่งขันทางธุรกิจโดยการวิเคราะห์จาก "สภาพแวดล้อมภายใน (internal environment)" ของบริษัท ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป

โอกาส (Opportunities) และภัยคุกคาม (threats) ที่ประโยชน์ในการกำหนดทิศทางให้ธุรกิจโดยการวิเคราะห์จาก "สภาพแวดล้อมภายนอกบริษัท” (external environment)

การวิเคราะห์สว็อท (SWOT) ยังใช้เพื่อการกำหนดแผนการตลาด การกำหนดนโยบายการจัดการวิกฤต และถือว่าเป็นเทคนิคการวิเคราะห์ที่เหมาะสำหรับการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ

สภาพแวดล้อมภายนอก (External environment)
"สภาพแวดล้อมภายนอก" (External environment) หมายถึงปัจจัยที่เกิดจากรัฐบาล เศรษฐกิจ สภาพสังคม กฎหมาย ตลาด การเปลี่ยนแปลงของราคาและแนวโน้มของลูกค้า บริษัท คู่แข่ง ฯลฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทหรือองค์กร ไม่สามารถควบคุมได้

สภาพแวดล้อมภายใน (Internal environment)
"สภาพแวดล้อมภายใน" (Internal environment) หมายถึง ปัจจัยภายในของบริษัท ด้านต่างๆ อาทิเช่น ทรัพยากรมนุษย์ ความแข็งแกร่งของธุรกิจ ความน่าสนใจของผลิตภัณฑ์ อำนาจการขาย ความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยี ยี่ห้อ การแข่งขัน สถานะทางการเงิน และปัจจัยอื่น ๆ ที่บริษัท หรือองค์กรสามารถควบคุมได้